ปฎิเสธไม่ได้ว่า ในปัจจุบันนี้แค่เสื้อผ้าที่ดูสะอาดอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอสำหรับผู้สวมใส่ แต่เสื้อผ้านั้นอาจจะต้องมีกลิ่นหอม นุ่มนวล น่าสัมผัสอีกด้วย
การใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มจึงเป็นทางเลือกที่นิยมกันมากขึ้นแทนที่จะใช้ผงซักฟอกแต่เพียงอย่างเดียว
ในช่วงแรกน้ำยาปรับผ้านุ่มถูกผลิตมาเพื่อใช้กับเส้นใยเรยอน ซึ่งต่อมาได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สามารถใช้ได้กับเส้นใยผ้าทุกชนิด ซึ่งน้ำยาปรับผ้านุ่มนั้น
ความจริงแล้วก็คือ สารเคมีที่มีคุณสมบัติช่วยลดแรงตึงผิว ซึ่งทำให้ลดความหยาบกระด้างของเส้นใยผ้าให้นุ่มฟูเรียบลื่น เพราะธรรมชาติของเส้นใยผ้าที่ผลิต
จากเส้นใยต่างๆมักจะมีความชื้นอยู่น้อย จึงมีความแข็งหยาบทำให้เวลาสวมใส่มักเสียดสีกับผิวทำให้เกิดไฟฟ้าสถิตได้ง่ายโดยองค์ประกอบหลักในน้ำยาปรับ
ผ้านุ่มนั้นจะประกอบไปด้วย 2 ส่วน นั่นก็คือ
1. ไข
2. ส่วนที่ทำให้ไขละลายน้ำ
โดยหลักการทำงานของน้ำยาปรับผ้านุ่ม เมื่อสารปรับผ้านุ่มละลายน้ำจะให้ประจุบวก ส่วนเส้นใยผ้าทุกชนิดในน้ำจะให้ประจุลบเสมอด้วยประจุที่ตรงข้ามกันก็
จะทำให้มีแรงดึงดูดเข้าหากันระหว่างผ้าและสารปรับผ้านุ่ม สารปรับผ้านุ่มจึงไปยึดเกาะบนเนื้อผ้า ทำให้ผ้ามีความนุ่มลื่นและลดการเสียดสีระหว่างผ้ากับผิว
จึงทำให้เรารู้สึกถึงผิวสัมผัสที่นุ่มลื่น และสามารถลดการเกิดไฟฟ้าสถิตที่เกิดจากการเสียดสีได้อีกด้วย นอกจากนี้ น้ำยาปรับผ้านุ่มยังทำให้ผ้าอุ้มน้ำได้น้อยลง
เป็นผลทำให้ผ้าแห้งได้เร็วขึ้น อีกทั้งยังสามารถกักเก็บหัวน้ำหอมไว้บนผ้าได้ดี ทำให้ผ้านั้นมีกลิ่นหอมติดทนยาวนาน แถมยังช่วยลดกลิ่นอับให้น้อยลงได้อีก
สำหรับข้อปฏิบัติในการใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มนั้น อย่างที่หลายคนทราบกันดีอยู่แล้วคือ ควรใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มในน้ำสุดท้ายของการซัก โดยไม่ควรใส่รวมไปพร้อม
กับผงซักฟอกหรือขณะที่มีน้ำผงซักฟอกอยู่ เพราะในสารปรับผ้านุ่มจะมีส่วนผสมของสารที่ทำให้ปริมาณฟองลดลง ซึ่งจะไปขัดขวางการทำงานของผงซักฟอก
ทำให้ประสิทธิภาพในการขจัดคราบสกปรกลดน้อยลง
แหล่งอ้างอิง:
o http://www.siamchemi.com/
o https://anthordimension.wordpress.com/น้ำยาปรับผ้านุ่ม-ลงลึก/
o http://siweb.dss.go.th/repack/repack_description.asp?repack_ID=14
เรียบเรียงโดย: น.ส.สมฤทัย ลอยมา