ไฟป่าแดนจิงโจ้อาจเป็นเรื่องปกติของโลกในอนาคต

18-12-2021

นักวิทยาศาสตร์ของสหราชอาณาจักร ศาสตราจารย์ริชาร์ด เบ็ทท์ส จากศูนย์อุตุนิยมวิทยาแฮดลีย์ กล่าวว่าไฟป่าในประเทศออสเตรเลียเป็นสิ่งที่ทั้งโลกต้องเผชิญหากอุณหภูมิของโลกสูงขึ้น 3 องศาเซลเซียส ถึงแม้ว่าสภาพอากาศจะเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดวิกฤตไฟป่าในครั้งนี้ แต่นักวิจัยบอกว่าความร้อนที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง นอกเหนือสภาพอากาศในออสเตรเลียที่มีสถิติที่ถือได้ว่าร้อนและแห้งแล้งที่สุดเลยทีเดียว

แมทธิว โจนส์ จากมหาวิทยาลัยอีสต์แองเกลีย วิเคราะห์ความเสี่ยงจากการเกิดไฟป่าทั่วโลกซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ โดยศึกษาจากงานวิจัยที่ได้ตีพิมพ์จำนวน 57 ฉบับ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าความร้อนที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ ได้ส่งผลต่อความถี่และความรุนแรงของสภาพอากาศที่เป็นต้นเหตุ การเกิดไฟป่าทั่วโลก ยกตัวอย่างในฝั่งตะวันตกของสหรัฐฯ, แคนาดา, ตอนใต้ของยุโรป, สแกนดิเนเวียและป่าแอมะซอน โดยความร้อนที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ยังได้เพิ่มความเสี่ยงไฟป่าในภูมิภาคอื่นอย่างในไซบีเรียและออสเตรเลีย

fires aus1
อย่างไรก็ตาม งานวิจัยนี้ระบุว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะวิเคราะห์ว่าวิกฤตไฟป่ารุนแรงที่ออสเตรเลีย มีสาเหตุมาจากอะไร ทว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เป็นผลจากการกระทำของมนุษย์ก็ยังคงมีส่วนที่ทำให้ไฟป่าครั้งนี้มีความรุนแรงขึ้นนั่นเอง

ตอนนี้ออสเตรเลียมีอุณหภูมิสูงกว่าอุณหภูมิเฉลี่ยโลกช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรม(ค.ศ. 1750 – 1850) ประมาณ 1.4 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิของโลกเองเพิ่มสูงขึ้น
ราว 1 องศาเซลเซียสนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1850 แม้รัฐบาลประเทศต่าง ๆ จะมีแผนลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แต่ถึงอย่างไรโลกก็จะมีอุณหภูมิสูงขึ้นราว 3 องศาเซลเซียสภายในศตวรรษนี้ ทำให้ผู้เชี่ยวชาญคนอื่น ๆ ที่มีส่วนร่วมในงานวิจัยนี้บอกว่า เรากำลังเห็นสัญญาณของโลกร้อนผ่านวิกฤตไฟป่าและคลื่นความร้อนที่กำลังเกิดขึ้นและนี่คือผลกระทบจากอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นเพียง 1 องศาเซลเซียสเท่านั้น หากเราไม่ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ ให้เหลือศูนย์ เราจะต้องพบกับผลกระทบที่ร้ายแรงกว่าที่เกิดขึ้นในออสเตรเลีย