ปัจจุบันจำนวนประชากรเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก ทำให้อัตราการบริโภคมีจำนวนมากขึ้นตามไปด้วย แน่นอนว่าผลิตผลทางการเกษตรนั้นจัดว่ามีความต้องการอย่างมากในทุกภาคส่วนทั่วโลก เพราะสิ่งของเพื่อการบริโภคต่าง ๆ ล้วนมีพื้นฐานจากการผลิตภาคการเกษตรทั้งสิ้น แนวทางของการที่จะทำให้ผลิตผลทางการเกษตรเพียงพอต่อความต้องการที่ไม่จำกัดนี้ มี 2 แนวทางที่ส่วนใหญ่นิยมทำกัน คือ การขยายพื้นที่ผลิตทางการเกษตร ไม่ว่าจะเป็นการขยายพื้นที่เพาะปลูก ทำปศุสัตว์ ฯลฯ และการเพิ่มผลผลิตต่อพื้นที่ให้สูงขึ้น จากแนวทางทั้ง 2 ที่ทั่วโลกนิยมปฏิบัติอยู่นั้น จะเห็นว่าการเพิ่มผลผลิตต่อพื้นที่ให้สูงขึ้นนั้นจะเป็นสิ่งที่สามารถจะทำได้ อย่างมีระบบและทำได้ง่ายกว่า เพียงแต่จะต้องมีการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการให้มากขึ้นด้วย แนวทางการทำ Zero waste agriculture หรือ ระบบการผลิตทางการเกษตรให้ปลอดวัสดุเหลือใช้ ซึ่งจะต้องนำแนวทาง Zero waste Management หรือแนวคิดขยะเหลือศูนย์ มาประยุกต์ใช้ โดยยึดหลักการที่ว่า “ขยะมีมูลค่าทางเศรษฐกิจ สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้” และยึดตามเป้าประสงค์คือ “การทำให้ขยะเหลือน้อยที่สุดและกำจัดส่วนที่เหลือ (residue) ด้วยเทคโนโลยีที่มีประสิทธิผล” และกรอบแนวคิดที่ขาดไม่ได้เลย คือ การผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การพัฒนาการนำขยะกลับมาแปรรูปใช้ใหม่ให้มากที่สุด การลดปริมาณของเสียที่จะทิ้งให้เหลือน้อยที่สุด เช่น การลดการใช้ สารเคมีในการผลิตทางการเกษตร การใช้วัสดุการผลิตที่สามารถนำกลับมาแปรรูปใช้ใหม่ให้ได้มากที่สุด เช่น การผลิตน้ำหมัก และปุ๋ยอินทรีย์ใช้เอง และสิ่งที่ขาดไม่ได้คือการสร้างงานให้กับชุมชน อันเป็นการช่วยยกระดับเศรษฐกิจของชุมชนให้สามารถเลี้ยงตัวเองได้อันเป็นการส่งเสริมให้เกิดการผลิตพืชผักให้ได้มาตรฐานและปลอดภัย ดังนั้น ระบบการผลิตทางการเกษตรให้ปลอดวัสดุเหลือใช้ จึงเป็นการดำเนินการแบบใหม่ที่จะเปลี่ยนแปลงทัศนคติและพฤติกรรมของ ทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคให้เกิดความตระหนักและร่วมมือกัน เพื่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพที่ดีของเราทุกคน
ที่มาของข้อมูล : ภาคภูมิ ดาราพงษ์ (2556). Zero waste agriculture คืออะไร ทำได้ไหมบนพื้นที่สูง? สืบค้นเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2564 จาก https://web2012.hrdi.or.th/HighlandDevelop/detail/2071/Zero-waste-agriculture-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3-%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%89%
ที่มารูป: www.universityobserver.ie/author/ethan-troy-barnes